Skip to content

Latest commit

 

History

History
302 lines (240 loc) · 20.6 KB

README.md

File metadata and controls

302 lines (240 loc) · 20.6 KB

Composition

หนึ่งในความสามารถที่มีประโยชน์มากของ React ก็คือ composability โดยส่วนตัวผมยังไม่รู้จัก framework ไหนที่มีวีธีในการสร้างและรวม component ได้อย่างที่ React ทำได้เลย ซึ่งในบทนี้เราก็จะมาลองดูเทคนิค composition บางตัวที่ได้รับการพิสูจน์ว่าใช้งานได้ดีกันนะครับ

เริ่มจากตัวอย่างง่าย ๆ กันเลย สมมติว่าเรามี application ที่มีส่วนของ header อยู่ และเราต้องการที่จะวาง navigation ไว้ข้างใน ในกรณีนี้เรามี React component อยู่สามตัว ได้แก่ App, Header, และ Navigation โดยทั้งสามตัวต้องอยู่ในสภาพซ้อนทับกัน (nested) ซึ่งสามารถแสดง dependency ได้ดังนี้:

<App> -> <Header> -> <Navigation>

วิธีการง่าย ๆ ในการรวม component เหล่านี้ก็คือการอ้างถึง component ในที่ต่าง ๆ ที่เราต้องการจะให้แต่ละ component ไปอยู่

// app.jsx
import Header from './Header.jsx';

export default function App() {
  return <Header />;
}

// Header.jsx
import Navigation from './Navigation.jsx';

export default function Header() {
  return <header><Navigation /></header>;
}

// Navigation.jsx
export default function Navigation() {
  return (<nav> ... </nav>);
}

อย่างไรก็ตาม หากเราทำตามวิธีการข้างต้น เราจะเจอกับปัญหาสองสามอย่าง:

  • เราสามารถมองว่า App เป็นที่ที่เราจะทำ composition หลักได้ แต่ทั้งนี้ Header อาจจะมี element อื่น ๆ อย่างโลโก้ ช่องค้นหา หรือสโลแกนอยู่ด้วย ซึ่งคงดีมากหากด้วยวิธีการบางอย่าง element เหล่านี้สามารถถูกส่งมาจาก App component ได้ เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้อง hard code ลงไป แล้วในกรณีที่เราต้องการ Header component ตัวเดิมแต่ไม่ต้องการ Navigation ล่ะ? จะเห็นว่าเราไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ง่าย ๆ เนื่องจาก component ทั้งสองนั้นผูกกันอยู่
  • การทดสอบจะกลายเป็นเรื่องยาก โดยเราอาจจะมี business logic บางส่วนอยู่ใน Header และเพื่อที่จะทดสอบ logic เหล่านั้นเราจำเป็นต้องสร้าง instance ของ component ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Header ทำการ import component อื่น ๆ เข้ามาด้วย เราจึงอาจจะจำเป็นต้องสร้าง instance ของ component พวกนั้นเช่นกัน ซึ่งจะทำให้การทดสอบกลายเป็นงานที่หนักมากไปเลย นอกจากนี้การทดสอบ Header อาจจะล้มเหลวเพราะความผิดพลาดภายใน Navigation ก็ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นด้วย (หมายเหตุ: ในบางกรณี shallow rendering สามารถแก้ปัญหานี้ได้โดยการ render เฉพาะ Header และไม่สนใจลูก ๆ ที่ซ้อนอยู่ข้างใน)

การใช้ React's children API

ใน React นั้นมี prop ที่มีประโยชน์มากเรียกว่า children ซึ่ง parent จะใช้ในการอ่านหรือเข้าถึงลูก ๆ โดย API นี้จะทำให้ Header ของเรานั้นกลายเป็น dependency-free ได้

export default function App() {
  return (
    <Header>
      <Navigation />
    </Header>
  );
}
export default function Header({ children }) {
  return <header>{ children }</header>;
};

สังเกตว่า ถ้าเราไม่ใช้ { children } ใน Header จะทำให้ Navigation component ไม่ถูก render เลย

ซึ่งตอนนี้การทดสอบก็จะง่ายขึ้นมาแล้ว เพราะเราสามารถ render Header ด้วย <div> เปล่า ๆ ได้ นี่จะทำให้ component อยู่แยกกันและทำให้เราสามารถโฟกัสไปที่แต่ละส่วนของ application ได้

การส่งลูกในรูปของ prop

ทุก ๆ component ใน React สามารถที่จะรับ prop ได้ และอย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วว่าไม่มีกฏไหนบอกว่า prop เหล่านี้จะต้องเป็นอะไร เราอาจถึงขั้นส่ง component อื่น ๆ เข้าไปเป็น prop ก็ได้

const Title = function () {
  return <h1>Hello there!</h1>;
}
const Header = function ({ title, children }) {
  return (
    <header>
      { title }
      { children }
    </header>
  );
}
function App() {
  return (
    <Header title={ <Title /> }>
      <Navigation />
    </Header>
  );
};

เทคนิคนี้จะมีประโยชน์เมื่อ component อย่าง Header จำเป็นต้องทำการตัดสินใจเกี่ยวกับลูก ๆ แต่ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าจริง ๆ แล้วลูกคืออะไร ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่น visibility component ที่ซ่อนลูกไว้ตามเงื่อนไขบางอย่าง

Higher-order component

เป็นเวลานานมากแล้วที่ higher-order component เป็นวิธีที่นิยมใช้ในการ enhance และประกอบ (compose) React element ซึ่ง pattern ชนิดนี้มีความคล้ายคลึงอย่างมากกับ decorator design pattern เพราะมีทั้ง wrap และ enhance เช่นกัน

ในทางเทคนิค higher-order component ปกติจะเป็น function ที่รับ component ดั้งเดิมและ return ตัวมันในรูปแบบที่ถูก enhance หรือ populate ตัวอย่างเล็ก ๆ ก็เช่น:

var enhanceComponent = (Component) =>
  class Enhance extends React.Component {
    render() {
      return (
        <Component {...this.props} />
      )
    }
  };

var OriginalTitle = () => <h1>Hello world</h1>;
var EnhancedTitle = enhanceComponent(OriginalTitle);

class App extends React.Component {
  render() {
    return <EnhancedTitle />;
  }
};

สิ่งแรกที่ higher-order component ทำก็คือ render component ดั้งเดิม โดย good practice คือการทำ proxy pass props เข้าไป วิธีนี้จะทำให้เรายังสามารถเก็บ input ของ component ดั้งเดิมไว้ได้ และเนื่องจากเราควบคุม input ของ component อยู่ เราจึงอาจจะส่งอะไรเข้าไปก็ได้ อะไรที่ปกติแล้ว component ไม่สามารถเข้าถึงได้ ตรงส่วนนี้เองที่ถือเป็นประโยชน์ใหญ่ ๆ ข้อแรก ลองสมมติว่าเรามีค่า config ที่ OriginalTitle ต้องใช้:

var config = require('path/to/configuration');

var enhanceComponent = (Component) =>
  class Enhance extends React.Component {
    render() {
      return (
        <Component
          {...this.props}
          title={ config.appTitle }
        />
      )
    }
  };

var OriginalTitle  = ({ title }) => <h1>{ title }</h1>;
var EnhancedTitle = enhanceComponent(OriginalTitle);

ค่าของ appTitle นั้นถูกซ่อนอยู่ใน higher-order component โดย OriginalTitle จะรู้เพียงแค่ว่ามันรับ prop ที่เรียกว่า title เข้ามาและไม่รู้เลยว่า prop ดังกล่าวมาจากไฟล์ configuration ซึ่งนั่นก็คือข้อได้เปรียบที่ใหญ่มากข้อหนึ่ง เพราะตอนนี้เราสามารถแยก block การทำงานออกจากกันได้และยังช่วยเรื่องการทำการทดสอบ component ด้วย เนื่องจากเราสามารถสร้าง mock ได้อย่างง่ายดายแล้ว

อีกหนึ่งคุณลักษณะของ pattern นี้ก็คือ เรามี buffer สำหรับใส่ logic เพิ่มเติมเข้าไปได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้า OriginalTitle ต้องใช้ข้อมูลซึ่งมาจาก remote server เราอาจจะทำการ query ข้อมูลนี้ใน higher-order component และส่งกลับไปในรูปของ prop ก็ได้

var enhanceComponent = (Component) =>
  class Enhance extends React.Component {
    constructor(props) {
      super(props);

      this.state = { remoteTitle: null };
    }
    componentDidMount() {
      fetchRemoteData('path/to/endpoint').then(data => {
        this.setState({ remoteTitle: data.title });
      });
    }
    render() {
      return (
        <Component
          {...this.props}
          title={ config.appTitle }
          remoteTitle={ this.state.remoteTitle }
        />
      )
    }
  };

var OriginalTitle  = ({ title, remoteTitle }) =>
  <h1>{ title }{ remoteTitle }</h1>;
var EnhancedTitle = enhanceComponent(OriginalTitle);

เช่นเคย OriginalTitle รู้แค่ว่ามันรับ prop เข้ามาสองตัวและต้อง render ต่อกัน สิ่งเดียวที่ OriginalTitle ต้องกังวลคือข้อมูลนั้นมีหน้าตาอย่าไร ไม่ใช่ว่ามาจากไหนและมาได้ยังไง

Dan Abramov ได้พูดไว้อย่างน่าสนใจว่า ขั้นตอนการสร้าง higher-order component (ซึ่งก็คือการเรียก function อย่าง enhanceComponent) นั้นควรจะเกิดขึ้นที่ระดับนิยามของ component (component definition level) หรือพูดอีกอย่างก็คือ เป็น bad practice หากจะสร้าง higher-order component ข้างใน React component อีกตัว เพราะจะทำให้ช้าและอาจนำไปสู่ performance issue ได้



การใช้ function เป็น children และ render prop

ในช่วงสองสามเดือนหลังนี้ React community เริ่มที่จะเปลี่ยนทิศทางความสนใจบ้างแล้ว จนถึงตอนนี้ ในตัวอย่างของเรา children prop คือ React component ตัวหนึ่ง อย่างไรก็ตามยังมีอีก pattern หนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น นั่นก็คือ children prop ตัวเดิมที่กลายมาอยู่ในรูปของ JSX expression เรามาเริ่มด้วยการลองส่ง object ธรรมดา ๆ กันดูก่อนนะครับ

function UserName({ children }) {
  return (
    <div>
      <b>{ children.lastName }</b>,
      { children.firstName }
    </div>
  );
}

function App() {
  const user = {
    firstName: 'Krasimir',
    lastName: 'Tsonev'
  };
  return (
    <UserName>{ user }</UserName>
  );
}

ตัวอย่างนี้อาจจะดูแปลกอยู่ซักหน่อย แต่จริง ๆ แล้วเป็นวิธีที่ใช้งานได้ดีมาก เช่นในกรณีที่เรามี knowledge บางอย่างใน component แม่ และไม่อยากที่จะต้องส่ง knowledge นั้นให้ลูก ตัวอย่างข้างล่างนี้พิมพ์ลิสต์ของ TODO ออกมา โดย App component จะเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้และรู้วิธีตรวจสอบว่า TODO นี้เสร็จหรือยัง ซึ่ง TodoList component นั้นทำหน้าที่แค่ห่อหุ้ม HTML markup ที่จำเป็นไว้เท่านั้น





function TodoList({ todos, children }) {
  return (
    <section className='main-section'>
      <ul className='todo-list'>{
        todos.map((todo, i) => (
          <li key={ i }>{ children(todo) }</li>
        ))
      }</ul>
    </section>
  );
}

function App() {
  const todos = [
    { label: 'Write tests', status: 'done' },
    { label: 'Sent report', status: 'progress' },
    { label: 'Answer emails', status: 'done' }
  ];
  const isCompleted = todo => todo.status === 'done';
  return (
    <TodoList todos={ todos }>
      {
        todo => isCompleted(todo) ?
          <b>{ todo.label }</b> :
          todo.label
      }
    </TodoList>
  );
}

สังเกตวิธีที่ App component ไม่ได้เปิดเผยโครงสร้างของข้อมูลเลย และ TodoList ก็ไม่รู้ว่ามี label หรือ status property อยู่ด้วย

โดย render prop pattern นั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน ยกเว้นแต่ว่าเราใช้ prop ไม่ใช่ children ในการ render todo




function TodoList({ todos, render }) {
  return (
    <section className='main-section'>
      <ul className='todo-list'>{
        todos.map((todo, i) => (
          <li key={ i }>{ render(todo) }</li>
        ))
      }</ul>
    </section>
  );
}

return (
  <TodoList
    todos={ todos }
    render={
      todo => isCompleted(todo) ?
        <b>{ todo.label }</b> : todo.label
    } />
);

ซึ่ง pattern ทั้งสองตัว ได้แก่ function as children และ render prop นั้นเมื่อไม่นานมานี้ได้กลายมาเป็นหนึ่งใน pattern โปรดของผมแล้ว โดยทั้งสองมอบ flexibility และช่วยในกรณีที่เราต้องการ reuse code และทั้งสองยังเป็นวิธีการที่ใช้ได้ดีมากในการ abstract code ส่วนที่สำคัญ ๆ อีกด้วย

class DataProvider extends React.Component {
  constructor(props) {
    super(props);

    this.state = { data: null };
    setTimeout(() => this.setState({ data: 'Hey there!' }), 5000);
  }
  render() {
    if (this.state.data === null) return null;
    return (
      <section>{ this.props.render(this.state.data) }</section>
    );
  }
}

DataProvider ไม่ได้ reder อะไรเลยเมื่อครั้งแรกที่ถูก mount แต่ห้าวินาทีหลังจากที่เราอัพเดท state ของ component เราได้ทำการ render <section> ตามด้วยสิ่งที่ prop render return กลับมา ลองนึกภาพว่า component ตัวเดียวกันนี้ดึงข้อมูลมาจาก remote server และเราต้องการจะแสดงผลก็ต่อเมื่อข้อมูลดังกล่าวมาถึงแล้วเท่านั้น

<DataProvider render={ data => <p>The data is here!</p> } />

เราระบุว่าเราต้องการให้อะไรเกิดขึ้นแต่ไม่ใช่เกิดขึ้นได้อย่างไร วิธีการดังกล่าวถูกซ่อนอยู่ภายใน DataProvider โดยในช่วงหลัง ๆ เราใช้ pattern นี้ในงานที่เราต้องจำกัด UI บางส่วนไว้ที่ผู้ใช้บางกลุ่มที่มี permission read:products จากนั้นเราจึงใช้ render prop pattern

<Authorize
  permissionsInclude={[ 'read:products' ]}
  render={ () => <ProductsList /> } />

ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นดูสวยและยังอธิบายตัวเองไปในตัวได้อีกด้วย โดย Authorize ถูกส่งไปที่ identity provider และตรวจสอบว่า permission ของผู้ใช้ปัจจุบันคืออะไร ถ้าผู้ใช้ได้รับอนุญาติให้อ่าน products ได้ เราก็จะ render ProductList

ข้อคิด

เคยสงสัยมั้ยว่าทำไม HTML ถึงยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ทั้งที่ถูกสร้างในยุกแรกของ Internet แต่เราก็ยังคงใช้กันอยู่ นั่นเป็นเพราะ HTML มี composability ที่สูงมาก ซึ่ง React และ JSX เองก็ดูคล้ายกับ HTML ที่ได้รับ steroid เข้าไป ในรูปแบบที่ว่าทั้งสองมี composibility ที่สูงเช่นเดียวกัน ฉะนั้นจงทำให้แน่ใจว่าคุณได้เรียนรู้เทคนิค composition อย่างลึกซึ้งแล้ว เพราะนั่นคือหนึ่งในความสามรถที่มีประโยชน์ที่สุดของ React